แม้ฟุตบอลถ้วยรายการนี้ จะเป็นที่ครหาของแฟนฟุตบอลส่วนใหญ่ว่า เป็น ‘มิกกี้เมาส์ คัพ’ เพราะเป็นถ้วยที่แทบไม่มีใครให้ความสำคัญ พูดง่าย ๆ ว่า มันไม่ใช่ เมเจอร์ โทรฟี ที่จะเอาไปอวดชาวบ้านได้ ซึ่งผมก็บอกตรง ๆ ว่า ก็จริงของเค้าแหละ และผมเองก็คิดเหมือนกันด้วย

‘หงส์แดง’ คว้า อีเอฟแอล คัพ ไปถึง 9 สมัย ซึ่งมากที่สุดในอังกฤษ ในขณะที่ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ คว้าถ้วยที่มี คาราบาว เป็นสปอนเซอร์ตั้งแต่ปี 2017 ไปเพียง 5 สมัย ผมลองถามดูว่า เรานึกภาพที่เพื่อน 2 คนที่เชียร์ 2 ทีมนี้ มาหยอกล้อเรื่อง ใครได้แชมป์ ลีกคัพ มากกว่า ออกกันหรือเปล่า ผมว่าไม่หรอก

แต่ถ้าผมเป็นหนึ่งในสตาฟฟ์ของทีม คงจะคิดในมุมเดียวกับแฟนบอลไม่ได้ ซึ่ง ‘เดอะ ค็อป’ แทบทุกคน รู้ดีว่า เจอร์เกน คลอปป์ รวมถึงทุกคนในสโมสร ไม่คิดที่จะปล่อยมือออกจากโทรฟีรายการนี้ไปหรอก

ก่อนที่ทั้ง 2 สโมสรจะฟาดฟันในรอบไฟนอล ที่จะดวลกันในสนาม เวมบลีย์ เดือนหน้า ‘เดอะ เรดส์’ ต้องเจอกับ ‘เดอะ บลูส์’ ใน พรีเมียร์ลีก ก่อนช่วงกลางสัปดาห์หน้า ในเวลาที่คนจากทวีปเอเชียไม่ชอบ นั่นคือ ตี 3 กับอีก 15 นาที

เกมในค่ำคืนวันพุธหน้าที่จะถึง อาจจะพอให้ได้รู้ไต๋ของคู่แข่งได้บ้างว่า เค้าเล่นกันประมาณไหน เวลาเค้ารุก เราต้องรับอย่างไร หรือเวลาเค้ารับ เราต้องรุกอย่างไร แต่ถ้านับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง ไฟนอล แมตช์ ของ คาราบาว คัพ มันยังเหลือตั้ง 1 เดือนเต็ม

ในระหว่าง 30 วันนี้ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่า ฟอร์มของ ลิเวอร์พูล และ เชลซี จะยังเหมือนเดิมหรือไม่ แล้วตัวแปรอื่น ๆ เช่น ผู้เล่นบาดเจ็บหรือติดโทษแบน จะมีมากน้อยขนาดไหนสำหรับทั้ง 2 ทีม

ผมในฐานะแฟนบอล ‘เดอะ ค็อป’ คนหนึ่ง ก็ต้องอยากเห็นทีมรักชูถ้วย มิกกี้เมาส์ ที่ใคร ๆ ก็ด้อยค่า ประเดิมเป็นโทรฟีใบแรกของซีซั่นอย่างแน่นอน เพราะมันจะทำให้ ‘เรด แมชชีน’ มีแรงขับเคลื่อนที่จะลุ้นแชมป์ในรายการอื่น ๆ ในซีซั่นนี้ต่อไปได้อีก

ลิเวอร์พูล มีแววที่จะคว้า 4 แชมป์ในซีซั่น 2023-24 ทั้ง พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า ยูโรปาลีก และ อีเอฟแอล คัพ ถ้าทำได้ คงจะเป็นอีก 1 ซีซั่นที่น่าจดจำของบอสใหญ่วัย 56 ปีที่อยู่มาเกือบ 9 ปี ต่อจาก แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2018-19, แชมป์ พรีเมียร์ลีก 2019-20 รวมถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ และ อีเอฟแอล คัพ 2021-22